บัณฑิตวิทยาลัยมีพันธกิจสำคัญในการยกระดับคุณภาพงานวิจัยให้เป็นที่ยอมรับในเวทีนานาชาติ การตีพิมพ์บทความในวารสารระดับสากลจึงมิใช่เพียง ปลายทางของผลงานวิจัย แต่เป็นกลไกหลักในการสื่อสารองค์ความรู้ สร้างผลกระทบทางวิชาการ และยืนยันมาตรฐานความเป็นมืออาชีพของคณาจารย์ นักวิจัย และนักศึกษา อย่างไรก็ดี ประสบการณ์สะท้อนให้เห็นความท้าทายซ้ำซาก ตั้งแต่การถูกปฏิเสธตั้งแต่ชั้นบรรณาธิการ (desk rejection) อันเนื่องจากความไม่สอดคล้องกับขอบเขตวารสาร (Aims & Scope) การนิยามช่องว่างองค์ความรู้ที่ไม่เฉพาะเจาะจง ไปจนถึงข้อบกพร่องด้านวิธีวิจัย การรายงานตามมาตรฐานสากล และคุณภาพภาษา/ตาราง ภาพที่ไม่ถึงเกณฑ์สิ่งพิมพ์ ความท้าทายเหล่านี้กระทบต่อระยะเวลา ความเชื่อมั่น และทรัพยากรขององค์กรโดยตรง
ในระดับการจัดการ ความรู้เชิงปฏิบัติที่จำเป็นต่อความสำเร็จ เช่น วิธีเลือกวารสารให้ fit จริง เทคนิคนิยามช่องว่างและคุณูปการ การออกแบบการวิเคราะห์ที่โปร่งใสทำซ้ำได้ ตลอดจนแม่แบบจดหมายปะหน้าและการตอบผู้ประเมินมักกระจายตัวอยู่กับบุคคลและเกิดจากประสบการณ์ส่วนตัว การหมุนเวียนกำลังคนทำให้ความรู้ฝังลึก (tacit knowledge) สูญหายง่าย ขณะที่ผู้มาใหม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์ ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำด้านคุณภาพต้นฉบับและรอบเวลาการส่งบทความ ขณะเดียวกัน สภาพแวดล้อมวิจัยร่วมสมัยเรียกร้องความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือสูงขึ้น (เช่น การเปิดเผยข้อมูลและโค้ด การปฏิบัติตามแนวทางรายงาน CONSORT/PRISMA/STROBE/COREQ ฯลฯ) หากขาดมาตรฐานร่วม องค์กรจะเสี่ยงต่อความไม่สอดคล้องด้านจริยธรรม คุณภาพ และการกำกับติดตามผลลัพธ์เชิงนโยบาย.
ดังนั้น การจัดการความรู้ (Knowledge Management: KM) ในหัวข้อ การเขียนบทความวิจัยเพื่อการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ จึงเป็นความจำเป็นเชิงยุทธศาสตร์ของบัณฑิตวิทยาลัย เป้าหมายคือการแปลงประสบการณ์กระจัดกระจายให้กลายเป็นระบบความรู้สถาบัน (institutionalized know-how) ผ่านชุมชนนักปฏิบัติ (Community of Practice) ที่ร่วมกันสังเคราะห์มาตรฐานงาน (SOPs) รายการตรวจสอบ (checklists) และชุดเครื่องมือใช้งานทันที (toolkits) ครอบคลุมตั้งแต่การเลือกวารสาร การออกแบบและรายงานวิธีวิจัยตามมาตรฐานสากล การจัดทำตารางภาพคุณภาพสิ่งพิมพ์ ไปจนถึงการยื่นส่งและตอบข้อคิดเห็นผู้ทรงคุณวุฒิอย่างมีระบบ เมื่อความรู้ถูกทำให้ชัดเจนและเข้าถึงได้ การเรียนรู้ของบุคลากรจะเร่งตัว เกิดความสม่ำเสมอของคุณภาพ ลดอัตรา desk rejection และย่นระยะเวลาจากการวิจัยสู่การเผยแพร่
ยิ่งไปกว่านั้น KM ยังเป็นรากฐานของวัฒนธรรมวิจัยที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีจริยธรรม ตั้งแต่การระบุบทบาทผู้แต่ง (CRediT) การเปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อน/ทุนสนับสนุน ไปจนถึงการกำกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์อย่างมีความรับผิดชอบ ผลลัพธ์ที่พึงประสงค์จึงมิได้จำกัดอยู่ที่จำนวนบทความที่ได้รับตีพิมพ์ หากยังรวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากร การอนุรักษ์ความรู้ขององค์กรในระยะยาว และการยกระดับภาพลักษณ์/ความน่าเชื่อถือของบัณฑิตวิทยาลัยในประชาคมวิชาการนานาชาติ อันเป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการขับเคลื่อนพันธกิจวิชาการและการพัฒนามหาวิทยาลัยอย่างยั่งยืน